มาเช็คอาการในภาพหลักกันครับ หลังจากที่ราคาทองลงมาแหย่แนวรับ ลองดูว่าจะสร้างเป็นฐานได้เมื่อไหร่เพื่อกลับขึ้นไป เท่าที่เป็นมันกลับทางกันคือมันพยายามสร้างฐานเพื่อให้ลงต่อไปเรื่อยๆ ฟังดูแย่ครับ แต่ในเรื่องแย่ๆ อาจมีเรื่องดีๆ รออยู่ครับ มีขึ้นก็มีลง ขึ้นแรงก็ลงแรง มันเป็นเรื่องจริง
เป็นภาพของแนวต้านหลักที่มี 1,667 1,692 1,705 1,735 1,754 ให้ไว้เผื่อใช้
เป็นภาพของแนวหนุนซึ่งช่วงนี้คงต้องมาตามดูแนวพวกนี้เพื่อสังเกตแรงซื้อที่เข้ามาหนุน นับตั้งแต่ทองหลุด 1700 ลงมาแล้วยังกลับไปไม่ได้ราคาทองยังไม่เจอแรงซื้อที่แนวรับดีพอจะทำให้กลับตัวเลย ยกเว้นที่แนว 1625 ที่เป็นจุดต่ำสุดเดิม ถ้าลงมาแตะแนว 1625 แล้วแรงดีเราคงคาดหวังว่ามันจะไม่หลุด 1650 ได้อีกซักระยะนึงครับ โดยรวมๆ แล้ว ราคาทองมีแนวรับที่ 1629 1608 1590 ซึ่งการลงมาแต่ละระดับจะเป็นเรื่องราวที่แตกต่างกันไปครับ ซึ่งยังต้องดูอีกทีว่าลงมายังไง เด้งแบบไหน ที่จุดไหน แล้วจะบอกได้ว่ากลับตัวหรือจะรีบาวด์กลับมาที่ตรงไหนได้บ้าง
เป็นภาพของอินดิเคเตอร์สองตัวแรกก่อนครับ ด้านบนเป็น MACD Oscillator ซึ่งยังอยู่แดนลบจะให้สัญญาณซื้อเมื่อแท่งเหลืองตัดเส้นน้ำเงินขึ้นไปได้ครับ ซึ่งตอนนี้ยัง
อีกตัว MACD มีสัญญาณดีๆ อยู่บ้างแม้จะเทียบกับลูกใกล้เคียงแล้วจะลูกใหญ่กว่าแต่ถ้าเทียบกับลูกก่อนหน้าที่เป็นจุดต่ำบริเวณ 1625 1635 แล้วไม่ลึกนัก ทำให้มองว่าถ้ามีสัญญาณจาก MACD Os พอจะตามไปได้ครับ มีลุ้นฟื้นตัวได้ครับ
ลำดับต่อมาที่ Sto กับ RSI สำหรับ Sto ยังลงไม่สุด อยากให้ลงสุดครับ ลงสุดแล้วตัดขึ้นน่าจะเป็นสัญญาณซื้อที่น่าสนใจโดยเฉพาะเมื่อเกิดกับแนวรับที่ให้ไว้
สำหรับ RSI ตอนนี้อยู่บริเวณ 35 - 40 ซึ่งเป็นแนวนึงที่รับอยู่แล้วเด้งกลับไปได้หลายครั้งตั้งแต่ลงมาจาก 1797
โดยรวมแล้วระดับอินดิเคเตอร์นั้นทรงตัวอยู่ในระดับที่ดีกว่าครั้งที่ลงมา 1635 1625 ครั้งก่อนครับ ทำให้ช่วงนี้ผมระวังพอควร ระวังว่าจะดีดขึ้นนะครับ ถ้าเริ่มมีแรงและทรงดี คงตามขึ้นไปขายตรงแนวต้านครับ
เป็นภาพของค่าเงินบาทซึ่งในช่วงนี้เริ่มทรงตัวไม่ส่งผลต่อราคามากๆ อย่าในช่วงต้นเดือนมกราคมกรอบเงินบาทคือ 29.7 29.73 29.8 29.83 29.87 29.9 โดยระยะยาวแล้ว เงินบาทไม่น่าเกินกว่า 30.5 - 30.7 และจะค่อยๆ แข็งค่าขึ้นในอนาคต ช่วงนี้คงทรงตัวหลังเริ่มไกล่เกลี่ยและพูดคุยมากขึ้นเกี่ยวกับ Currency War
เมื่อพูดถึง Currency War แล้ว ก็เลยเอาทิศทางค่าเงินสกุลหลักๆ มาให้ดูว่าที่ผ่านมาในช่วงไม่นานนี้เป็นกันอย่างไรบ้าง
เนื่องจากช่วงนี้เวลาอ่านบทวิเคราะห์ผมจะเก็บทิศทางค่าเงินสกุลเหล่านี้มาด้วยครับ ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษหรือ Great Britain ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง แบบเงียบๆ ไม่กระโตกกระตากเหมือนเงินเยนญี่ปุ่นที่ ธนาคารประเทศต่างพุ่งเป้าไปที่นโยบายที่ประกาศหลังรู้ผลเลือกตั้งนายกญี่ปุ่น ซึ่งล่าสุดทางอเมริกาก็ออกมาหนุนว่าเห็นด้วยและช่วยให้เงินเยนอ่อนเพื่อให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นกลับฟื้นเสียทีหลังจากตบสลบเหมือด ซึมมากว่า 10 ปี ทางเบอร์นันเก้เองก็บอกไว้ว่าการที่ญี่ปุ่นซึมยาวนานทั้งที่นโยบายการเงินของญี่ปุ่นเองคือตรึงดอกเบี้ยไว้ต่ำมากๆ ยาวนาน ว่าไม่เต็มทีจนถึงที่สุด สะท้อนให้เห็นว่าในความคิดของเบอร์นันเก้เองนั้นมีความตั้งใจทำคิวอีและคงดอกเบี้ยของสหรัฐจนกว่าระดับการว่างงานจะลงมาต่ำกว่าระดับที่ต้องการหรือต่ำกว่า 6.5 % แต่ติดที่ข้อจำกัดที่มี
ส่วนทิศทางค่าเงินดอลล่าร์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นมามาก
มาถึงเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ อาจทำให้หลายๆ ท่านที่คาใจ ว่ามีคิวอีแล้วทำไมทองลง
ในรูปเป็นกราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งผมตามดูมาซักระยะ เพื่อทำความเข้าใจอะไรบางอย่าง ปกติแล้ว นโยบายการเงินที่ออกมาใช้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตลาดจริงๆ หมายถึง ถ้าเฟดประกาศจะซื้อพันธบัตรเพื่อกดให้ดอกเบี้ยต่ำลง เพื่อให้เกิดการกู้ยืมไปลงทุน ผลักดันให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจอย่างที่ตั้งใจ ซึ่งถ้าอัตราผลตอบแทนลดลงก็แปลว่าตลาดตอบรับ แต่ถ้าในทางตรงกันข้ามแล้ว คือดอกเบี้ยบอนด์กลับสูงขึ้นก็คือตลาดตอบรับไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งหลังจากต้นเดือนมกราคม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรุ่นอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ถ้าจำไม่ผิดคือเป็นช่วงที่มีประธานเฟดสาขาหนึ่งออกมาบอกถึงข้อจำกัดที่อาจทำให้ทำคิวอีไม่ได้นานอย่างที่มองไว้ หรือทำคิวอีได้สั้นกว่าที่คาด เงินน้อยลง ทองก็ลง ประมาณนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีจอร์จ โซรอสก็ออกมาสำทับว่าเฟดจะปรับดอกเบี้ย Fed Fund Rate ขึ้นจากระดับต่ำสุด 0.25 % ภายในสิ้นปีนี้ซึ่งเร็วกว่าที่เบอร์นันเก้บอกไว้กว่าปีหรือบอกไว้ว่าจะปรับขึ้นราว 2015 เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ขอบอกไว้ 2 ประเด็น 1. คือ ต้องไม่ลืมนะครับว่าคิวอีที่พิมพ์เงินเข้ามาในตลาดด้วยการซื้อบอนด์ มาตลอดสามสี่ปี จะมีวันที่เค้าขายบอนด์และเอาเงินกลับคืนหรือที่เรียกว่า Exit Strategy เป็นเรื่องที่รับรู้กันไว้แต่แรกทำคิวอี 1 แล้วนะครับ มีเข้าก็มีออก ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ยิ่งคืบเข้าใกล้วันนั้นไปทุกทีครับ 2. สิ่งที่เราต้องเข้าใจว่า เฟด ปรับดอกเบี้ยตามการเคลื่อนไหวของตลาดเงิน ไม่ใช่ตลาดเงินปรับตามที่ประกาศอย่างเดียว อย่างแรกคือปกติแล้ว เค้าจะ ส่งสัญญาณก่อนปรับจริง เพื่อให้ตลาดปรับตัวก่อนจะได้ไม่ผันผวนเกินไปในตลาดการลงทุน ซึ่งในหลายๆ ครั้ง Yield ในตลาดจะปรับตัวก่อนที่เฟดจะประกาศอย่างเป็นทางการ เมื่อตลาดปรับขึ้นมาในระดับนี้แล้วและถ้ายังขึ้นเรื่อยๆ ภายในปีนี้ก็ให้ระวังเฟดปรับประมาณการไว้ครับ แม้ในการให้สัมภาษณ์ล่าสุดจะยังยืนยันว่าจะคงไว้ต่อไปแม้จะเอาเงินออกจากระบบแล้วก็ตาม(Exit Strategy) เริ่มพูดเป็นนัยๆแฮะเสียว
ประเด็นหลักต่อมาผมได้คำตอบเรื่อง Yield มาจากหนังสือ Money&Wealth เล่มล่าสุดซึ่งเค้าพูดมากกว่านั้นเรื่องของปริมาณเงินในระบบของสหรัฐเอง เค้าบอกว่า M1 และ M2 อัตราการหมุนเวียนมันลดลงครับ
M1 และ M2 นี้เป็นเม็ดเงินที่ถูกแบ่งประเภทออกมาเพื่อให้สามารถออกนโยบายมาจัดการเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาให้เงินไม่เฟ้อไป ไม่ฝืดไป ซึกปกติแล้ว เงินในระบบเริ่มแรกจะมีไม่มากแต่เมื่อเข้าสู่ระบบแล้วมันจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า ผ่านระบบธนาคาร เช่นเงิน 100 บาท เราเอาเงิน 100 บาทไปฝากธนาคารไว้ ธนาคารก็จะนำเงินเรานั้นไปออกดอกผลเช่นให้กู้ยืมบ้างอะไรบ้างสมมติว่าให้กู้ไปทั้ง 100 บาทคนที่กู้เงินนั้นก็นำไปจ่ายค่าสินค้า ค่าแรงเมื่อคนที่ได้รับเงินนั้นก็นำไปฝากธนาคารอีกที หมุนเวียนไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เงินในระบบจึงมีมากขึ้น แปลว่าถ้าเงินมีอัตราหมุนเวียนที่สูง เงินก็อาจจะเฟ้อขึ้นแต่ถ้ามีอัตราการหมุนเวียนที่ต่ำลงเงินจะเฟ้อน้อยลงหรือที่เราเรียกว่าเงินฝืด
ทองคำจะมีทิศทางเป็นบวกถ้าเงินเฟ้อและเฟ้อเพิ่มขึ้นในทางตรงกันข้ามถ้าเงินเฟ้อน้อยลงราคาทองก็ปรับลง
แปลว่าการออกคิวอีในรอบหลังๆ แม่้จะตั้งเป้าว่า Unlimite แต่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ประสิทธิภาพของคิวอีกลับลดลง ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้แต่แรก และนี่คือข้อจำกัดอีกอย่างของเฟดที่อาจทำให้ต้องล้มเลิกคิวอีกก่อนเวลาที่คาดไว้ ซึ่งส่วนตัวผมเดาเอาว่าเป็นเหตุผลมาจากสองประการ1. Fiscal ที่สุดท้ายก็ปรับขึ้นภาษีอยู่ดี และยังค้างมติไว้ในบางเรื่องมาตัดสินใจในภายหลัง 2. เพดานหนี้สหรัฐที่ตอนนี้ติดเพดานแล้วที่ระดับกว่า 16 ล้านล้านเหรียญ ภาครัฐมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่าย ซึ่งเป็นเม็ดเงินหลักทางหนึ่งที่จะหยุดชะงักไป
โดยสรุปแล้ว เหตุผลที่ทำไมทองลง ทั้งๆที่มีคิวอีที่่รออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดเดือนละ 85,000 ล้านเหรียญ ไปอีกราว 10 - 12 เดือนหรือเกือบ 1 ล้านล้าน นั้นเกิดขึ้นพร้อมกับข้อจำกัดหลายทางซึ่งรวมไปถึงทางการเมืองด้วย และผลตอบรับจากตลาดไม่เป็นอย่างที่เคย เมื่อเข้าใจมากขึ้นแล้วจะได้ช่วยลดอคติลงได้บ้างครับ เช่นคิวอีทองขึ้น ตรุษจีนทองขึ้นอะไรประมาณนั้น
แต่ไม่ได้หมายถึงผมมองลงหนักๆ นะครับสำหรับช่วงต่อไปนี้ ผมให้เรื่องพวกนี้เป็นรอง ทิศทางราคาเป็นหลัก อาจนำปัจจัยพื้นฐานมากำหนดกรอบใหญ่ แต่ในช่วงการปรับตัวคงยังมองที่เทคนิคเป็นหลัก ซึ่งในช่วงนี้ผมเองตามสังเกตแรงซื้อตามจุดแนวรับต่างๆ ที่อาจเป็นจุดกลับตัวขึ้น หรือรีบาวด์ขึ้นซักชุดอยู่ครับ
สังเกตตามแนวนี้ครับ 1625 1630 1638 และเมื่อเด้งตัวได้ดี ค่อยมาหาจุดขายอีกทีครับ จะแค่ 1665 หรือ1695 ก็มาดูกัน สัปดาห์นี้มีของแถมครับ แต่ต้องยกยอดไปพรุ่งนี้เกี่ยวการคาดการณ์ Demand และ Supply ของทองคำในปีนี้ จากเว็บ CME Group ครับผม